ท่องเที่ยวไทยมีอะไรอยู่ใต้พรม

ตำรวจบุกจับมักคุเทศก์ผิดกฎหมาย ระหว่างอบรมขายตรง (23 เม.ย. 60)


 The Opinion highlights
  • บุกจับอบรมไกด์ย่านเหม่งจ๋าย ไม่ใช่แค่ไกด์ผิดกฎหมาย แต่เชื่อมโยงถึงขบวนการฟอกเงิน
  • คนจีนชอบผลิตภัณฑ์ยางพารามาก รู้หรือไม่ ที่นอนยางพารามีราคาหลักแสนบาท
  • ขบวนการฟอกเงินลูบปาก ค่านิยมใช้จ่ายเงินอิเล็คทรอนิกส์ของคนจีน ด่านสำคัญที่ไร้การตรวจสอบ 

ร่วมแสดงความคิดเห็นกับผู้ใช้งาน Facebook

ถ้างานอบรมของมัคคุเทศก์ที่ถูกตำรวจท่องเที่ยว และ 191 บุกทลาย คือการปฐมนิเทศน์น้องใหม่ ของกลุ่มมัคคุเทศก์"ขายตรง" คงเป็นเรื่องแปลกมาก หากไม่มีการขยายผลถึงขบวนการเบื้องหลัง ที่คนในแวดวงการท่องเที่ยวยืนยันว่า เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินแน่นอน

เป็นประเด็นที่ไม่น่าเชื่อ เพราะอะไร ?

เพราะเป็นที่รู้กันว่า มัคคุเทศก์ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายจะมีขั้นตอนนำเสนอสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยวเป็นเรื่องปกติมาก และรู้กันดีอยู่แล้วว่าเจ้าของสินค้าและบริการเหล่านี้จะจ่าย คอมมิชชัน ให้มัคคุเทศก์ แล้วแต่จะตกลงกัน แต่โดนส่วนมากจะมีราคากลาง บางจังหวัดมีตัวแทนหน่วยงานรัฐไปเป็นพยานในงานประชุมกำหนดราคาคอมมิชชันด้วยซ้ำไป


บันทึกการประชุมข่อตกลงการให้ค่าคอมมิชชันแก่เอเยนต์และมัคคุเทศก์
ใช้พื้นที่สรรพากรพื้นที่จังหวัดภูเก็ต

แต่การขายสินค้าเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นจำนวนเงินมากพอจะยั่วขบวนการฟอกเงินให้เข้ามาพัวพันได้ ถ้าเราพูดถึงสินค้าที่ไม่ได้มีราคากลางอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น อัญมณี ประเภทนี้เข้าใจได้หากจะพบกลิ่นของการฟอกเงิน ซึ่งคนในวงการก็รู้กันว่า ขบวนการฟอกเงินไม่ยุ่งกับ จิวเวอร์ลี เพราะถูกจับตามอง แต่หันไปหาสินค้าทั่วไป ซึ่งไม่ได้ราคาถูกอย่างที่เราเข้าใจกัน

โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่คนจีนนิยมมาก (ต้องผลิตไทยเท่านั้น) หมอนยางพาราราคาหลายพันบาท ที่เหนือจินตนาการคือที่นอนยางพารา ราคาแพงที่สุดที่ได้เห็นคือ 120,000 บาท


ราคาที่นอนยางพาราบางรายการ 82,000 บาท
เอกสารบางชุดระบุราคาสูงถึง 120,000 บาท


กรุ๊ปทัวร์คณะหนึ่งมีนักท่องเที่ยวตีเลขกลมๆให้ 20 คน เดือนหนึ่งมัคคุเทศก์ทำทัวร์สัก 3 กรุ๊ป เท่ากับแต่ละเดือนจะรับนักท่องเที่ยว 60 คน ปีหนึ่งก็ 720 คน เท่าที่ได้ฟังจากหลายคน รายได้จากสินค้าเหล่านี้เดือนหนึ่งไม่น้อยเลย

วัฒนธรรมคนจีนปัจจุบันร้อยคนจะพกเงินสด หรือใช้เป็นทรัพย์สินหลักในการใช้จ่าย ปัจจุบัน E-Payment ได้รับความนิยมอย่างเทียบกันไม่ได้ มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวสมารถซื้อสินค้าและบริการอะไรก็ได้ สะดวกมากๆ ผู้ประกอบการบริษัทท่องเที่ยวรายหนึ่งเล่าว่า แม้แต่ร้านค้าริมทางก็มี QR code ให้ลูกค้าจ่ายเงินกันแล้ว


ป้าย QR code ที่ถูกต้อง มีชื่อผู้ให้บริการด้านล่าง สามารถตรวจสอบได้จากธนาคารแห่งประเทศไทย

ผู้ให้บริการรับชาระเงินด้วย Alipay และ WeChat Pay ที่ได้รับใบอนุญาตในไทย
ข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย 

ปัญหามาเกิดในไทย ความนิยมใช้เงินอิเล็คทรอนิกส์ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ชำระเงินผ่านผู้ให้บริการที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย ซึ่งตามปกติแล้วร้านค้าจะมีแผ่นป้าย QR code ตั้งไว้ที่จุดชำระเงิน แต่บางรายหัวหมอ เอาป้ายจากผู้ให้บริการในจีนมาตั้งไว้ แน่นอนว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ ธปท. จ่ายเงินแต่ละครั้ง เงินวิ่งไปจีน ไม่ได้เข้าไทย


แผ่น QR code ต้องมีรายชื่อผู้ให้บริการเหล่านี้เท่านั้น
ข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย


แล้วร้านค้าในไทยได้อะไร ?

ตามปกติเมื่อจ่ายเงิน E-Payment ธนาคารผู้ให้บริการจะตัดบัญชีผู้ซื้อ และโอนเงินไปยังบัญชีร้านค้า แต่ขบวนการนี้ตัดตอนที่ธนาคารรับเงินจากผู้ซื้อ เพราะร้านค้าเหล่านี้ได้เงินไปตั้งแต่แรกโดยตัวแทนของขบวนการเป็นผู้นำเงินมาให้ในลักษณะเงินมัดจำ และร้านค้าอาจรู้เห็นด้วย หรือไม่รู้ก็ได้

วิธีนี้ทำให้เงินสกปรกมาอยู่กับร้านค้าในไทย (มีใบเสร็จการชำระเงินเป็นหลักฐาน แต่เงินโอนไปธนาคารจีน) ส่วนเงินที่เข้าสู่กลุ่มขบวนการฟอกเงิน จะกลายเป็นเงินถูกกฎหมายเพราะถูกรับรองโดยผู้ให้บริการ E-Payment ไปโดยปริยาย

______________________________



อุรชัย ศรแก้ว
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ช่องทางติดตามข่าวสาร


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

"โชซอน - เกาหลี"ประวัติศาสตร์แห่งความชอกช้ำ

อนาคต Linkin Park ในวันที่ไม่มี Chester Bennington

ย้อนเส้นทางคดีฟอกเงินใน"วัดพระธรรมกาย"